เจาะลึกสาเหตุค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้นทุกๆปี

ทำไมค่ารักษาพยาบาลแพง?

1.ราคายาและเทคโนโลยีการแพทย์ราคาสูงขึ้น

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น คือราคายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีต้นทุนสูง การพัฒนายาใหม่ๆ และนวัตกรรมทางการแพทย์ล้วนต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล บริษัทยายักษ์ใหญ่จึงมักตั้งราคายาไว้สูงเพื่อให้คุ้มกับการลงทุน ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องแบกรับภาระค่ายาที่มีราคาแพง

โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์หรือการรักษาพยาบาลทางเลือกนั้น มีราคาที่สูงเกินกว่าทางรัฐบาลหรือโรงพยาบาลรัฐจะมีเงินทุนสนับสนุน ทำให้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆนั้น มักจะอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนเป็นส่วนใหญ่

2.ค่าใช้จ่ายในบุคลากรทางการแพทย์สูงขึ้น

วิชาชีพแพทย์และพยาบาลเป็นสายงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถสูง และมีความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้ป่วย ดังนั้น ค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์จึงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนที่ต้องแข่งขันในเรื่องการบริการ ทำให้มีค่าบริการในส่วนของการบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วย 

3.โรงพยาบาลและสถานพยาบาลมุ่งหวังผลกำไร

แม้ระบบประกันสุขภาพของรัฐจะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง แต่ความคุ้มครองยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วน ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนในหลายๆ แห่ง มีแนวทางที่หวังผลกำไรมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกทางการตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยชูจุดเด่นในเรื่องของ ความรวดเร็ว ความเชี่ยวชาญ และมาตรฐานการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลสูงขึ้นตามไปอีกด้วย 

3 แนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้อย่างไรด้วยตัวเอง

1. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ห่างไกลโรคภัย

วิธีลดค่ารักษาพยาบาลที่ดีที่สุด คือการมีสุขภาพที่แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงโดยการงดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรคร้ายแรงตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อลดโอกาสการเจ็บป่วยและลดค่าใช้จ่ายในการรักษา

• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  การออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาทีขึ้นไป ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง กระชับ ไม่อ้วนลงพุง ลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และยังช่วยให้จิตใจแจ่มใส คลายเครียดได้อีกด้วย

• รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

  การกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบถ้วนตามหลัก 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ควรเน้นอาหารประเภทผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืช และถั่วเมล็ดแห้ง ส่วนอาหารประเภททอดและแปรรูป รวมถึงขนมหวาน น้ำอัดลม ควรหลีกเลี่ยงหรือทานแต่น้อย

• พักผ่อนให้เพียงพอ

  การนอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมง มีส่วนสำคัญต่อการผ่อนคลายความตึงเครียด ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค ป้องกันภาวะหลงลืม สมองเสื่อม และโรคทางจิตเวชต่างๆ หากนอนหลับยาก ให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น งดดื่มคาเฟอีนหลังเที่ยง ไม่เล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอน สร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการนอนหลับ และจัดตารางเข้านอนให้เป็นเวลา

• ตรวจสุขภาพประจำปี

  แม้จะรู้สึกสบายดี ก็ไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ทำให้สามารถรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่จะลุกลามหรือก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน การตรวจสุขภาพควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนให้เหมาะสมตามเพศ วัย และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล

• งดเว้นพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ

  พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพย่ำแย่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระค่ารักษาพยาบาลโดยใช่เหตุอีกด้วย