เพื่อที่จะให้คุณเห็นถึงความสำคัญของการออมเงิน ก่อนที่เราจะพาคุณไปรู้จักกับสัดส่วนการออมเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน เราควรรู้ถึงอันตรายของการไม่ออมเงินเสียก่อน
เกิดวิกฤตทางการเงิน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
หากคุณไม่เก็บออมเงินเอาไว้เลย หากเกิดเหตุไม่คาดคิดที่อาจทำให้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เช่น รถเสีย เกิดเหตุน้ำท่วม เกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยกะทันหัน หรือแม้แต่ของใช้จำเป็น ๆ เกิดสูญเสีย หรือเสียหายขึ้นมา อย่างเช่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊ก ที่ทำให้ต้องซื้อใหม่ หรือเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม จะทำให้คุณต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตทางการเงินเพราะไม่มีเงินออมที่สามารถนำมาใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ และอาจทำให้มีเงินไม่พอใช้ในช่วงนั้น ๆ
1.ไม่มีเงินเก็บออมไว้สำหรับซื้อสินทรัพย์ใด ๆ
การไม่มีเงินเก็บ เงินออม จะทำให้คุณไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการซื้อสินทรัพย์ใด ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง เช่น บ้าน ที่ดิน รถ หรือแม้แต่ของมีค่าอื่น ๆ ที่เหมาะกับการลงทุน อย่างเช่นทองคำ หรือสินค้าหรูที่สามารถสร้างกำไรจากการขายในอนาคตได้ จึงเป็นการเสียโอกาสในการลงทุน และเสียโอกาสในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยเช่นกัน
2.ขาดความมั่นคงทางการเงิน อาจทำให้เป็นหนี้เป็นสิน
การที่ไม่เก็บออมเงิน จะทำให้คุณขาดความมั่นคงทางการเงิน และทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้มากกว่าผู้ที่มีการเก็บออมเงินเป็นประจำ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องใช้เงินฉุกเฉิน หรือเงินจำนวนมากซึ่งไม่สามารถจ่ายได้ด้วยเงินเดือนที่มี คุณก็จะต้องไปกู้ยืมเงินจากแหล่งต่าง ๆ มา ทำให้เกิดหนี้สิน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเข้าหนี้เหล่านั้นก็จะยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นอีก
3.ไม่สามารถหยุดทำงานได้แม้แก่เฒ่า เนื่องจากจะทำให้มีเงินหมุนเวียนไม่พอใช้
หากคุณไม่เริ่มออมเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะทำให้คุณมีเงินเก็บออมสำหรับบั้นปลายชีวิตไม่เพียงพอ และเมื่อถึงช่วงอายุที่ควรต้องเกษียณ หรือหยุดทำงาน เพราะร่างกายเริ่มแก่ตัวลง ไม่แข็งแรงดังเดิม ก็อาจไม่ได้เกษียณอย่างที่ต้องการ และจำเป็นต้องทำงานต่อเพื่อหารายได้มาใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
2. การวางแผนออมเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน
เมื่อรู้แล้วว่าหากไม่ออมเงินอาจทำให้เกิดผลเสียอย่างไรได้บ้าง ก็ขอไปต่อกันเรื่องควรจะออมเงินอย่างไร ซึ่งวันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยให้ว่าควรจะออมเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน
ควรออมเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ?
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายรับแน่นอน และมีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกันในทุก ๆ เดือนสามารถใช้วิธีการออมเงินให้ได้ 20% ของเงินเดือนตนเอง หรือไม่ต่ำกว่า 10% ของเงินเดือน โดยเงินส่วนนี้ควรเป็นเงินออมเพื่อความมั่นคงของชีวิต และไม่ควรนำมาใช้หากไม่จำเป็น โดยเงินที่เหลือจาก 20% ที่ออมนั้นสามารถบริหารจัดการได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน
โดยหากทำได้คุณอาจใช้สัดส่วนการออมเงิน “50 - 30 - 20” ในการบริหารการเงินส่วนตัว โดยสัดส่วนนี้มีความหมายดังนี้
50% - ค่าใช้จ่ายจำเป็น กินอยู่ เดินทาง ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
30% - ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขของตัวเอง เช่น การทำกิจกรรมที่ชอบ หรือซื้อของที่อยากได้
20% - เก็บออม และลงทุน เช่น เก็บออมเผื่อฉุกเฉิน แบ่งลงทุน หรือซื้อประกันชีวิต
อย่างไรก็ตาม ใน 20% ของเงินสำหรับการเก็บออมนั้นคุณก็สามารถนำมาแบ่งเป็นก้อน ๆ เพื่อเก็บออม หรือลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น อาจเก็บออมเป็นเงินสดในบัญชีออมทรัพย์ 10% แล้วแบ่งลงทุนในกองทุน หรือสินทรัพย์เพื่อความมั่นคงต่าง ๆ อีก 10% ก็ได้
นอกจากนั้นแล้ว หากคุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขได้ ก็อาจนำมาออมเพิ่ม หรือใครจะเลือกเก็บออมเงิน 30% แล้วใช้จ่ายเพื่อความสุขเพียง 20% เท่านั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ไม่ควรตระหนี่กับความสุขของตัวเองมากเกินไป เพราะจะทำให้การออมเงินกลายเป็นเรื่องที่ไม่สนุก และทำให้คุณไม่อยากออมในที่สุดได้
3. การลงทุน และการออมเงินที่เหมาะกับมนุษย์เงินเดือน